จับได้แล้ว! หญิง ขโมยรองเท้าแตะ อึลงพื้นร้านตลาดนกฮูก พบอายุแค่ 14 ปี

จับได้แล้ว! หญิง ขโมยรองเท้าแตะ อึลงพื้นร้านตลาดนกฮูก พบอายุแค่ 14 ปี

เจ้าหน้าที่จับตัว หญิง อึลงพื้นร้านตลาดนกฮูก ช็อกพบอายุแค่ 14 เล่าครอบครัวแตกแยก ด้านเจ้าของร้านไม่เอาความ จากกรณีที่ นายจิรภัทร ตนเตือนจิต อายุ 49 ปี เจ้าของร้านปากกาแฟนซี ลื่นหัวแตก ถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี ได้ออกมาร้องเรียนว่าถูกขโมยรองเท้า ขโมยรองเท้าไม่พอยังอึลงพื้นร้านในตลาดนกฮูก จนนำไปสู่การตามตัวผู้ก่อเหตุกลับมาลงโทษ

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลาดนกฮูกได้แจ้งว่าสามารถควบคุมตัวผู้ก่อเหตุได้แล้ว พบตัวอยู่ที่ด้านหลังตลาดพร้อมกับกระเป๋าสะพาย 1 ใบ จึงเชิญตัวให้มาพบกับนายจิรภัทรที่หน้าร้าน ภายในกระเป๋าสะพายพบเครื่องสำอางจำนวนมาก

เด็กหญิงคนดังกล่าวให้สารภาพ พร้อมจำนนด้วยหลักฐาน และยกมือไหว้นายจิรภัทร เด็กหญิงคนดังกล่าวเล่าว่า ตนมีอายุ 14 ปี และเพิ่งจะเข้ามาก่อเหตุขโมยรองเท้าที่ร้านตลาดนกฮูกเป็นครั้งแรก อาศัยอยู่ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ต่อมาเกิดปัญหาทางครอบครัวกับพ่อแม่ที่แยกทางกันอยู่ จึงนั่งรถประจำทางจากพระนครศรีอยุธยามาเที่ยวที่ตลาดนกฮูก เพราะได้นัดหมายกับเพื่อนชายคนหนึ่งที่เพิ่งเจอกันผ่านเฟซบุ๊กเพื่อจะไปดื่มน้ำต้มใบกระท่อมกัน

ผลปรากฎวันจริง วันเกิดเหตุเพื่อนชายที่นัดไว้ไม่มาตามนัด ตนนั่งรออยู่ที่หน้าร้านสะดวกซื้อ ตอนเช้าจึงตัดสินใจเข้าไปเดินเล่นในตลาด เมื่อเห็นว่าปลอดคนตนจึงเดินสำรวจตามร้านที่ปิดอยู่ จนกระทั่งไปเจอร้านขายรองเท้าแตะ ซึ่งตนอยากได้แทนคู่เก่าอยู่พอดี จึงตัดสินใจย่องเข้าไปรื้อค้นเอารองเท้าแตะไป 1 คู่

เมื่อมาถึงร้านขายปากกา ตนเกิดปวดท้องหนักกะทันหัน ไม่รู้จะทำยังไง เห็นว่าปลอดคน จึงอึลงพื้นร้าน และสลับรองเท้าแตะอีกคู่ ก่อนจะหลบหนีออกจากตลาดและไปขึ้นรถตู้กลับบ้าน ที่วันนี้กลับมาเพราะมีนัดกับเพื่อนชายและอยากขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไป

ด้าน นายจิรภัทร กล่าวว่า จากภาพวงจรปิดที่จับภาพคนร้ายเอาไว้ได้ ตนนึกว่าจะเป็นคนร้ายอายุน่าจะประมาณ 25 ปีขึ้นไป แต่พอรู้อายุจริงว่าขโมยคนนี้ยังเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 14 ปีเองแล้วยิ่งครอบครัวแตกแยกกันอีก รู้สึกสงสารและไม่ติดใจเอาความเพราะไม่อยากให้ ด.ญ.คนนี้ต้องมีประวัติเสื่อมเสีย เห็นแก่อนาคตของเขาจึงไม่ติดใจเอาความ เพียงแต่อยากให้เขารับปากว่า จะไม่ทำตัวเที่ยวไปลักขโมยของใครแบบนี้อีก และถ้าหากเขากลับตัวกลับใจเพื่อจะหางานสุจริตทำ ตนยินดีจะช่วยเหลือหางานให้ทำต่อไป

ตำรวจรวบ ‘เจ๊ทิบ พิมรี่พายเมืองลาว’ พร้อมแฟน ข้อหาฉ้อโกงตามหมายลาว

ตำรวจเข้าจับกุม เจ๊ทิบ พิมรี่พายเมืองลาว ผู้ตามหาฉ้อโกงและการคิดอัตราดอกเบี้ยสูงตามหมายจับลาว พร้อมแฟน คาโรงแรมในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุม นางพอนทิบ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี สัญชาติลาว อาชีพนักธุรกิจ หรือ เจ๊ทิบ เจ้าของฉายา พิมรี่พายเมืองลาว พร้อมกับ ท้าวอานุสิด (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี สัญชาติลาว ที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านคลองห้า จ.ปทุมธานี หลังทั้งสองถูกทางการลาว ออกหมายจับคดีฉ้อโกงทรัพย์ และการคิดอัตราดอกเบี้ยสูง

เมื่อตำรวจถึงโรงแรมดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่เคาะประตูห้องและพบทั้งคู่อยู่ในสภาพเพิ่งตื่นนอน และได้อ่านหมายศาลให้ฟัง และเข้าตรวจค้นห้องพัก พบอาหารจากร้านสะดวกซื้อ 2 ถุงใหญ่ และกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อีก 1 ใบ

สำหรับพฤติการณ์ของทั้งสองคนนี้ คือเป็นแฟนกัน ทำธุรกิจหลายอย่างที่ สปป.ลาว ทั้งขายทอง เพชร และขายของออนไลน์ และมีการกล่องสุ่มคล้ายกับของ พิมรี่พาย แม่ค้าออนไลน์ชื่อดังของไทย หลังขายของออนไลน์จนโด่งดัง ก็ได้เชิญชวนเล่นแชร์ โดยหลอกว่าจะให้ค่าตอบแทนสูงร้อยละ 30-50 ต่อเดือน

จาการตรวจสอบพบว่า เจ๊ทิบยังเปิดให้แทงหวยออนไลน์ ธุรกิจของนางทิบได้รับความนิยมมากใน สปป.ลาว จากความรวย ความสวย นางทิบยังเป็นคนจิตใจดีช่วยเหลือชาวบ้าน สร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า

จนกระทั่งช่วงเดือนมิ.ย. พบว่า ลูกค้าที่ลงทุนกับเจ้ทิบไม่ได้รับเงินตามตกลง จึงเข้าแจ้งความกับตำรวจเวียงจันทน์ ระบุว่า ถูกนางพอนทิบ อายุ 30 ปี ฉ้อโกงเงินฝากไป นำไปสู่การออกหมายจับและพบว่าทั้งสองหนีมาไทยพร้อมกับเงินจำนวนมาก

ด้าน นางพอนทิบ กล่าวว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นตนขอปฏิเสธทุกอย่าง ตนไม่ได้โกงเงินใคร เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เงินจำนวน 400 ล้านบาท ที่มีกระแสว่าตนเอาหนีข้ามประเทศมาด้วยนั้น ยืนยันว่าไม่มีจริง เพราะเงินจำนวนมาก ตนไม่สามารถแบกข้ามประเทศมาได้ และถ้าหากจะโอนเงินข้ามประเทศครั้งหนึ่งในจำนวนเงินที่มากก็จะต้องใช้เอกสารมากมายซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ยืนยันว่าเงิน 400 ล้านบาทไม่มีจริง ทุกคนใส่ข่าวไปเอง ตนไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น มีเพียงจำนวนหนึ่งที่ใช้สำหรับหมุนเวียน ถ้าหากถามว่าตอนนี้แชร์ตนล้มหรือไม่ ก็ตอบได้ว่า แชร์ล้มแล้ว ส่วนสาเหตุที่หนีมาที่ประเทศไทย เพราะว่าตนถูกขู่ทำร้าย มีคนเฝ้าอยู่หน้าบ้าน จนทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย ตนเลยขอมาตั้งหลักที่ประเทศไทยก่อน ยืนยันไม่ได้มาที่ประเทศไทยเพื่อที่จะหนีคดี แต่มาเพราะต้องการมาตั้งหลักเท่านั้น ตอนนี้พร้อมจะชี้แจงและรับผิดชอบทุกอย่างแล้ว

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป